หลักทั่วไปในการออกใบรับรองแพทย์ ภาค 2

  เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับภาคแรก จริงๆมีเนื้อหาอีกมากเกี่ยวกับใบรับรองแพทย์ พี่คิดว่าจะมีมากเกินไปเลยขอแบ่งมาพูดในบทนี้แทน เรื่องใบรับรองแพทย์นี่ ที่พี่ต้องพูดโดยละเอียดเพราะพี่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเป็นแพทย์ โดยเฉพาะที่รพช.ในทุกๆวันจะต้องมีคนมาขอให้น้องออกใบรับรองแพทย์อยู่แล้ว แม้ว่าจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เป็นเรื่องที่เกิดปัญหาได้บ่อยๆ และเป็นเรื่องที่แพทย์อย่างเราๆตกม้าตายมามากแล้ว ว่าแล้วเรามาดูกันต่อดีไหมว่ามีหลักการอะไรอีกบ้าง                       

            6 อะไรที่รับรองไม่ได้ก็ไม่ต้องเขียน คำที่น้องเขียนลงไปทุกตัวอักษรในใบรับรองแพทย์จะเป็นหลักฐานอย่างดีในการยืนยันน้อง ดังนั้นเราควรเขียนเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและเขียนเฉพาะที่เป็นจริงเท่านั้น อะไรที่ไม่แน่ใจหรือไม่รู้ไม่เห็น ไม่ควรเขียน เช่น ชายขี่ Mc ล้ม มารพ.มีแผลฟกช้ำตามตัว มาขอใบรับรองแพทย์บอกว่าให้หมอเขียนว่าเกิดจากอุบัติเหตุ ฯลฯ เวลาเราออกใบรับรองแพทย์ให้ เราออกได้แค่ว่า มีแผลอะไรกี่แผล แต่ไม่ต้องระบุไปว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะเราไม่ทราบ เราไม่ใช่ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ เราไม่ได้เห็นหรอกว่ามอเตอร์ไซด์เขาล้มจริงๆ เขาอาจจะไปชกต่อยมาก็ได้ แล้วมาโกหกหมอก็ได้ว่าเกิดจากมอเตอร์ไซด์ เพื่อจะได้ไม่ถูกทำโทษอะไรก็แล้วแต่ ดังนั้นขอให้จำไว้ว่าคำว่าอุบัติเหตุ เราไม่ควรเขียนลงไปในใบรับรองแพทย์เพราะเราไม่ได้เป็นคนเหตุเหตุการณ์ คนที่จะรู้ว่าเกิดจากอุบัติเหตุจริงหรือไม่คือเจ้าตัวเท่านั้น หมอรับรองไม่ได้ว่าเกิดจากอุบัติเหตุ กรณีที่หมอมักจะถูกขอร้องให้เขียนว่าเกิดจากอุบัติเหตุ คือกรณีเด็กนักเรียนซึ่งมักจะมีการทำประกันอุบัติเหตุที่โรงเรียน ดังนั้นเวลาเด็กหกล้มหัวแตก ครูมักจะมาขอหมอบอกว่าให้ออกว่าเกิดจากอุบัติเหตุ เราต้องจำไว้นะครับ เราลงได้แค่ว่า มีบาดแผลอะไร เราเขียนบอกไม่ได้ว่าเกิดจากอุบัติเหตุ เนื่องจากเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ถ้าจำเป็นเราอาจจะเลี่ยงไปเขียนว่า ผู้ป่วยหรือญาติให้ประวัติว่าเกิดหกล้ม มอเตอร์ไซด์ล้ม เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ฯลฯ แล้วตรวจพบว่ามีแผล…อะไรก็ว่าไป จะเห็นว่าเราต้องป้องกันตัวเอง เราไม่ได้เอาตัวเองเข้าไปรับรองว่าเกิดอุบัติเหตุ เราเอาตัวเอาอ้างว่า เขาให้ประวัติเราว่าเกิดจากอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรที่ไม่รู้หรือยืนยันไม่ได้ ให้ใช้คำว่า ผู้ป่วยให้ประวัติว่า จะดีที่สุด  อีกอย่างโรคบางอย่างที่เราตรวจไม่พบความผิดปกติอะไร เช่นบอกว่าปวดท้อง หรือท้องเสีย แล้วตรวจร่างกายปกติ จะขอใบรับรองแพทย์ลาหยุด หมอต้องพิจารณาให้ดีว่าผู้ป่วยน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือดูท่าจะเกเร เบี้ยวงาน อย่ารับรองว่าเขาปวดท้อง หรือท้องเสียจริง เพราะเป็น subjective data เราไม่รู้ อาจจะเขียนว่าผู้ป่วยให้ประวัติว่า…. อย่าลืมนะครับ หลักในข้อนี้ก็คือ อะไรที่เรารับรองไม่ได้ก็อย่าไปรับรอง

             7 อย่าให้เงินซื้อใบรับรองแพทย์ได้ โดยปกติแล้วใบรับรองแพทย์ไม่ควรจะเป็นสิ่งที่ซื้อขายกันได้ เราควรจะออกให้เขาโดยไม่คิดมูลค่าใดๆ จริงๆแล้วในโรงพยาบาลของรัฐอาจมีการเก็บค่าธรรมเนียมในการออกใบรับรองแพทย์บางอย่าง เช่น ใบรับรองว่าสุขภาพดี อาจคิดฉบับละ 20-30 บาท ค่าใบรับรองแพทย์ Claim ประกัน อาจเก็บ 200-300 บาท ส่วนในกรณีตรวจโรค จะออกให้ฟรี ใบรับรองแพทย์ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของหมอในการออก ดังนั้นอย่าให้เงินมาซื้อขายได้ ของอะไรก็ตามถ้ามีผลตอบแทนเข้ามาจะทำให้ค่าของมันด้อยลง ไม่ว่าจะมีคนมาให้เงิน หรือติดสินบนน้องเท่าไรก็ตามก็ต้องยึดมั่นในหลักการไว้ ถ้าเขาเอาเงินซื้อใบรับรองแพทย์ได้ ก็เหมือนกับว่าหมอได้ขายเกียรติและศักดิ์ศรีของหมอ เขาก็จะบอกว่าอยากได้ใบรับรองแพทย์หรือ ไปหาซื้อเอาซิ จะเอาแบบไหนก็ได้ นับว่าเป็นการทำให้วงการแพทย์โดยส่วนรวมเสื่อมเสียเป็นอย่างมาก

               8 ระวังเรื่องการใช้คำและการรับรอง เพราะเราก็รู้ว่าบางอย่างใน Medicine ไม่ได้ 100 % เสมอไป เช่น คนหนึ่งมาขอใบรับรองแพทย์ตรวจสุขภาพจะไปสมัครงาน และทางที่ทำงานให้ตรวจปัสสาวะหายาบ้าด้วย สมมุติว่าเราส่งตรวจแล้ว ปรากฎว่า urine amphetamine – negative เวลาเขียนในใบรับรอง ไม่ควรเขียนว่า สุขภาพแข็งแรงดี และไม่ได้เสพยาบ้า เรารับรองไม่ได้หรอกครับ ว่าเขาใช้หรือไม่ได้ใช้ยาบ้า ติดหรือไม่ติด เรารับรองได้เพียงแค่ว่าในปัสสาวะเขามียาบ้าหรือไม่เท่านั้น แต่จริงๆแล้วน้องก็รู้ว่า Test ทุกอย่างมีทั้ง false neg, false positive การที่ urine amphetamine negative ไม่ได้บอกว่าไม่ติด หรือไม่ได้ใช้ยาบ้า น้องอาจเขียนว่าไม่มียาบ้าในปัสสาวะ หรือถ้าจะให้ดีที่สุดควรเขียนว่า ตรวจไม่พบยาบ้าในปัสสาวะ เห็นไหมครับว่าการใช้คำเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเราตรวจไม่พบเฉยๆ เราไม่ได้บอกว่าไม่มี ในทำนองเดียวกันในการตรวจเลือดบางอย่าง เรารู้อยู่แล้วว่าเราตรวจหาอะไร เช่นหา Antigen หรือ antibody หรือตรวจหาสิ่งอื่นๆ เช่นเราตรวจพบ antiHIV – Positive เราไม่ควรเขียนว่าผู้ป่วยเป็นเอดส์ เพราะ อาจเป็นแค่ Asymptomatic HIV infection เท่านั้นก็ได้  ไม่ได้ถึงขนาดเป็น AIDS  และในทำนองเดียวกันก็ไม่ควรเขียนว่าตรวจพบเชื้อ HIV เนื่องจากเราไม่ได้ตรวจหาเชื้อ หรือ Antigen แต่เราตรวจ antibody ต่างหาก ดังนั้นถ้าเราพบว่า anti HIV – positive เราควรเขียนว่า ผลเลือดผิดปกติ เข้าได้กับการติดเชื้อ HIV เราควรจะเขียนกว้างๆไว้ อย่าไปยืนยัน 100 % เช่นแม้ว่าเราจะตรวจพบ Anti HIV negative ก็อย่าไปเขียนว่า ขอรับรองว่าไม่ได้เป็นเอดส์ หรือรับรองว่าไม่ได้ติดเชื้อเอดส์ การเขียนเช่นนี้เป็นการผูกมัดตัวเองเกินไป เพราะมีอีกหลายปัจจัย เช่น Anti HIV neg อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วง Window periods ก็ได้ หรือ Lab ผิดก็ได้ การใช้วลีว่า ผลเลือดผิดปกติเข้าได้กับ….. หรือ ผลเลือดปกติ ไม่เข้ากับการติดเชื้อหรือโรค…. การเขียนแบบนี้จะเป็นทางออกที่ดีในการเขียนใบรับรองแพทย์ หลักการง่ายๆในการรับรองคนไข้ที่มีผลตรวจต่างๆ ก็คือ พยายามอย่ารับรองในตัวผู้ป่วยให้เขียนว่าผลตรวจต่างๆปกติหรือผิดปกติ ซึ่งเข้าได้กับหรือไม่เข้ากับโรคใด

              9 ระวังเรื่องสิทธิผู้ป่วย การจะออกใบรับรองแพทย์รับรองอะไรลงไปนั้น เป็นการเปิดเผยข้อมูลของคนไข้อย่างหนึ่ง ดังนั้นต้องแน่ใจว่าคนไข้ได้ให้คำยินยอมว่าจะเปิดเผยข้อมูลต่างๆจริง โดยเฉพาะในโรคบางอย่าง เช่นโรคเอดส์เป็นต้น โดยทั่วไปถ้าคนไข้เป็นผู้มาขอใบรับรองแพทย์เองมักไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะถือว่าคนไข้ได้ให้คนยินยอมโดยปริยายอยู่แล้ว แต่ถ้ามีคนมาขอแทน โดยอาจจะเป็นญาติ เป็นเพื่อนมาขอ ต้องระวังให้ดี โดยเฉพาะเกี่ยวกับโรคเอดส์เป็นต้น เพราะปัจจุบันถ้าใครป่วยเป็นโรคเอดส์ ถ้ามีใบรับรองแพทย์จะได้เงินสวัสดิการช่วยในการเลี้ยงชีพ จึงมักมีการมาขอให้หมอออกใบรับรองแพทย์ให้ น้องอย่างน้องควรจะตรวจเลือดเขาอีก 1 ครั้ง และต้องแน่ใจว่าเขายินยอมให้เปิดเผลข้อมูล ถ้าเป็นญาติหรือบุคคลอื่นมาขอแทน โดยทั่วไปพี่มักจะไม่ให้ ต้องให้เจ้าตัวมาขอเอง หรือต้องทำหนังสือแสดงความยินยอมมาให้

              10 ระวังในเรื่องการรับรองว่าสุขภาพดี ในผู้ป่วยที่มาตรวจสุขภาพธรรมดา เช่นจะไปทำใบขับขี่ ไปสมัครงาน มักต้องการให้หมอรับรองว่าสุขภาพดี ถ้าน้องลองอ่านใบรับรองแพทย์ดู จะเห็นว่าใบรับรองแพทย์ที่รับรองโดยแพทยสภาจะทำให้เขียนได้ง่าย และจากการซักประวัติและตรวจร่างกายคร่าวๆก็พอจะออกได้ เพราะโรคที่รับรองว่าผู้ป่วยไม่เป็น มักจะต้องมีอาการหรืออาการแสดงอย่าชัดเจนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโรคเท้าช้างระยะปรากฏอาการ โรควัณโรครุนแรง เป็นผู้ทุพพลภาพ สุขภาพจิตผิดปกติ เราตรวจคร่าวๆ คุยกับคนไข้หน่อย เราก็จะพอรับรองได้ว่าไม่มีโรคดังที่กล่าวจริง ตรงที่สรุปความเห็นแพทย์ เราไม่ต้องเขียนมากก็ได้ น้องบางคนเขียนว่า สุขภาพแข็งแรงดีทุกประการ หรือสุขภาพสมบูรณ์มาก ไม่ต้องเขียนถึงขนาดนั้นก็ได้ เพราะเขาอาจจะมีโรคบางอย่างซึ่งยังไม่ได้แสดงอาการก็ได้ อีกอย่างเราไม่ได้ตรวจLab อะไรเลย เราคงรับประกันขนาดนั้นไม่ได้ อาจเขียนว่า”ปราศจากโรคดังกล่าวข้างต้น”ก็พอ หรือ”ไม่พบความผิดปกติจากการซักประวัติและตรวจร่างกายขั้นต้น” เท่านั้นก็พอ และถ้าคนไข้มีโรคประจำตัวที่น้องคิดว่าสำคัญก็ต้องเขียนลงไปด้วย การไม่เขียนถือเป็นการปกปิด เช่น คนไข้เป็นโรคลมชัก จะไปทำใบขับขี่น้องไม่น่าจะออกให้ หรือออกให้ว่าเป็นโรคลมชักไม่แนะนำให้ขับขี่รถก็ได้ ถ้ามีโรคอื่นเช่น ความดัน เบาหวาน ก็แล้วแต่กรณี มักต้องเขียนและระบุนิดหนึ่งว่า ขณะนี้รักษาที่ไหน  อาการเป็นอย่างไร ปกติดีไหม

                11 ควรจะมีการ Copy ใบรับรองแพทย์เก็บไว้เสมอ ถ้าโรงพยาบาลน้องมีต้นขั้วหรือมีการใช้กระดาษ copy เก็บใบหลังไว้ก็จะเป็นการดี เพราะจะมีหลักฐานยืนยันในการออกว่าออกวันนั้นวันนี้จริง เขียนว่าอะไร เผื่อไว้ในกรณีที่มีปัญหา ถ้าไม่มีน้องควรจะลงไว้เหมือนกันใน OPD card ว่าน้องเขียนว่าอะไร ให้หยุดกี่วันเป็นต้น กันเวลาคนไข้เอาไปขูดลบดัดแปลงแก้ไขใบรับรองแพทย์เอง พยายามเขียนเรื่องวันเวลาให้ชัด ตัวเลขในการหยุดก็เขียนให้ชัด ระบุให้แน่นอนว่าหยุดกี่วัน ตั้งแต่วันที่เท่าไรถึงเมื่อไร พวกตัวเลขถ้าเขียนเป็นตัวหนึงสือกำกับด้วยจะเป็นการดีมาก กันการแก้ไขเองได้ ถ้าน้องเขียนเฉยๆว่า หยุด 3 วัน แค่นี้ เกิดมีมือดีไปเติมเลขหน้าเลข 3 ก็จะไม่ดี แค่เติมเข้าไปขีดเดียว แต่ได้หยุดอีกถึง 10 วัน ต้องระวังคนไม่ซื่อประเภทนี้ด้วย

              หลักการคร่าวๆในการเขียนใบรับรองแพทย์ที่พี่พอนึกออกก็มีอยู่เท่านี้แหละ ก็ขอให้น้องได้ระลึกถึงหลักการต่างๆเหล่านี้ให้ดี พยายามเขียนแต่สิ่งที่เป็นจริง อย่างใจอ่อน ทำในสิ่งที่ถูกต้อง และอย่าลืมว่าน้องมีสิทธิไม่เขียน ถ้าน้องลำบากใจหรือถูกกดดันมากๆอาจไม่ต้องเขียนเลยก็ได้ เราไม่เขียนไม่ผิดอะไร แต่ถ้าเราเขียนไปแล้ว ใบรับรองแพทย์ใบนั้นก็จะออกจากมือเราไปตลอด ไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าโชคไม่ดีอาจจะใช้เป็นหลักฐานยืนยันความผิดน้องได้ ด้งนั้นน้องควรใช้ความระมัดระวังในการออกให้ดี ประสบการณ์จะช่วยสอนน้องได้ ถ้าไม่แน่ใจอาจลองปรึกษาพี่ๆดูก็ได้นะ

 

Leave a Reply

 

 

 

You can use these HTML tags

<a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <strike> <strong>