By InMyMind, on April 26th, 2010
น้องบางคนคงเคยได้ยินคำพูดนี้ ซึ่งมักจะเป็นแพทย์รุ่นพี่เล่าให้ฟัง ซึ่งก็เป็นความจริงอยู่บ้างแล้วแต่กรณีนะ คงจะไม่เป็นอย่างนั้นทุกกรณีหรอก คำพูดที่ว่าให้ตายไม่ได้ เนื่องจากว่าชาวบ้านในอำเภอไกลๆส่วนหนึ่งมักจะคิดว่ารพช.เป็นโรงพยาบาลชั้น 2 ไม่สามารถดูแลญาติเขาได้ดีเท่าที่ควร ยังมีโรงพยาบาลจังหวัดอยู่อีกที่สามารถจะไปรักษาได้ คนไข้และญาติกลุ่มนี้มักจะคาดหวังให้หมอส่งคนไข้ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจังหวัดหรือโรงพยาบาลศูนย์ไปเลย ในกรณีที่ญาติคิดว่าอาการเป็นหนักหรือรักษาที่นี่แล้วไม่ดีขึ้นซะที ซึ่งก็เป็นสิทธิของคนไข้ คราวนี้มันก็มักจะมีปัญหากับพวกเราซึ่งเป็นหมอเสมอว่า อาการหนักของคนไข้ กับอาการหนักของเรามักไม่ตรงกัน
หมอทุกคนเองที่อยู่รพช. พร้อมที่จะส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลระดับสูงกว่าอยู่แล้ว ถ้าคิดว่าถึงจำเป็นและถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว คราวนี้เมื่อไรคือความจำเป็น และเมื่อไรคือเวลาที่เหมาะสมล่ะ คงตอบยากแล้วแต่คนไข้ และแล้วแต่หมอแต่ละคนเหมือนกันนะ นอกจากนี้เรื่อง Progression ของ โรคเป็นอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ บางครั้งมัน Progress ไปเร็วมาก หรือไปในทางที่คาดไม่ถึง ก็ทำให้แย่ลงได้มากๆ และทำให้ญาติไม่เข้าใจอาจกล่าวโทษหมอได้ ทั้งๆที่หมอเองก็คิดว่าได้รักษาอย่างถูกหลักวิชาการทุกอย่าง เกิดปัญหาขึ้นมาได้ น้องที่ยังไม่มีประสบการณ์ฟังอาจจะไม่เข้าใจนัก พี่จะลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพพจน์นะ
ตัวอย่างที่1 “รอจนแย่แล้วค่อยส่ง”
เป็น case Motorcycle accident ดูไม่รุนแรงมาก ตอนมาที่เรา GCS=13-14 ยังพูดไม่รู้เรื่องเท่าไร คนไข้เมาเหล้าด้วย หมอคนหนึ่งอยู่โรงพยาบาลชุมชนเล็กๆ ไกลจากตัวจังหวัดประมาณ 100 กม. จึงสั่ง Admit, NPO, Observe Neurosign, Vital sign q 1 . . . → Read More: คนไข้ตายในรพช.ไม่ได้นะเดี๋ยวมีเรื่อง
By InMyMind, on April 26th, 2010
“หมอ ขอไปรักษาต่อในเมือง”, “ลุงไปรักษาในเมืองเถอะ เดี๋ยวหมอจะเขียนใบส่งตัวไปให้นะ” เป็นคำพูดที่น้องจะต้องได้คุ้นแน่นอนเมื่อน้องเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชน รพ.ชุมชนเป็นเพียงโรงพยาบาลประจำอำเภอเล็กๆ โรงพยาบาลชุมชนไม่สามารถรักษาได้ทุกโรค บางโรคต้องการการตรวจเพิ่มเติมหรือการรักษาที่เฉพาะหรือการผ่าตัดที่ยุ่งยาก น้องสามารถจะส่งต่อหรือที่เรียกกันว่า Refer คนไข้ไปยังโรงพยาบาลที่มีความพร้อมมากกว่า โดยน้องต้องเขียนใบ Refer ซึ่งเป็นใบส่งตัวคนไข้ ซึ่งจะต้องเล่ารายละเอียดและข้อมูลของคนไข้ในความดูแลของน้อง และบอกสาเหตุการ Refer ว่า Refer ด้วยสาเหตุอะไร โดยปกติแล้ว น้องซึ่งเป็นแพทย์จะต้องแยกแยะให้ได้ว่าคนไข้คนไหนหนักหรือต้องการการตรวจเพิ่มเติม จะต้องส่งต่อไปยังจังหวัด คนไข้ไหนที่สามารถรักษาที่โรงพยาบาลเราได้
ทีนี้ก็เมื่อน้องเขียนใบ Refer เสร็จแล้ว ก็ให้คนไข้ถือไปโรงพยาบาลจังหวัด โดยการไปโรงพยาบาลจังหวัดนั้นมีได้ 2-3 ทางใหญ่ๆ คือการให้คนไข้ไปขึ้นรถโดยสารไปเอง หรือให้คนไข้ไปหารถเองเอง หรือใช้รถโรงพยาบาลไป การจะเลือกไปโดยวิธีนี้ก็แล้วแต่สภาพคนไข้ ญาติ และการตัดสินใจของแพทย์ ในรายที่มีอาการหนัก สาหัส ต้องการการส่งตัวไปรักษาทันที น้องสามารถที่จะเรียกใช้รถโรงพยาบาลไปได้ โดยปกติแล้วรถโรงพยาบาลจะมีเตรียมพร้อมตลอด 24 ชม. โดยน้องอาจให้พยาบาลโทรตามคนขับรถ และอาจจะตามพยาบาลเวร Refer ด้วย พยาบาลเวร Refer คือพยาบาลที่อยู่เวร On call ที่จะไปกับรถ Refer เมื่อมี case . . . → Read More: Refer / Not Refer
By InMyMind, on April 26th, 2010
นาฬิกาคนไข้ นาฬิกาคุณ
คนไข้รู้สึกว่า คอยนานแล้ว ในขณะที่คุณรู้สึกว่า แป้บเดียวเอง ใช่หรือไม่
คนไข้รู้สึกว่า ป่วยมาก ในขณะที่คุณรู้สึกว่า นิดเดียวไกลหัวใจ ใช่หรือไม่
คนไข้รู้สึกว่า ที่นี่หลงทางได้ง่าย ในขณะที่คุณรู้สึกว่า หลับตาเดินได้เลย ใช่หรือไม่
คนไข้รู้สึกว่า คุณแปลกหน้า ในขณะที่คุณรู้สึกว่า เขาเหมือนกันทุกคน ใช่หรือไม่
พี่ได้เห็นและอ่านข้อความข้างต้นในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พี่ว่าน่าสนใจมากนะ สามารถทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้ บางครั้งเราทำงานไปนานๆเข้า เราจะทำเป็นอัตโนมัติ เราจะเริ่มละเลยความเป็นคนของคนไข้ลงไป ลืมความเป็น Individual เราจะเริ่ม label เขาด้วยศัพท์ทางการแพทย์ต่างๆ ซึ่งเรามักทำกันไปโดยไม่รู้ตัว บางครั้งพวกเราทำถึงขนาดเรียกคนไข้เป็น caseๆ ไม่ได้เรียกชื่อคนไข้ เวลาคุยกันก็บอกว่า case DM, case epilepsy, case TB ฯลฯ ตอนที่เราพูดๆกันอยู่เรามักไม่นึกอะไรหรอก แต่ถ้าลองมาคิดดูดีๆ เรากำลังริดรอนสิทธิความเป็นคนของเขาลงไปมาก จริงๆเรากำลังรักษาคุณลุง….ป่วยเป็นโรควัณโรค ไม่ใช่รักษาลุงTB
มีคำกล่าวว่าสิทธิความเป็นคนจะถูกริดรอนไปตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในโรงพยาบาล เป็นคำกล่าวซึ่งสะท้อนความจริงส่วนหนึ่งที่ชาวบ้านมองเห็นและรู้สึก หมอและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์อื่นๆรู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายๆชินแล้ว เป็น routine ในการประพฤติปฏิบัติบางอย่าง เช่นคนไข้หกล้มหัวแตกมา พยาบาลที่ ER อาจไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมาก . . . → Read More: นาฬิกาใจของใครเต้นแรงกว่ากัน