วันหนึ่ง นายจำนงค์เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับเริ่มบ่นให้ฟังว่า
“พี่หมอ ผมไม่ไหวแล้วนะ ทุ่มเทกับการทำงานมากขนาดนี้ ทำโดยไม่มีวันหยุด แต่เหมือนไม่มีใครเห็น เจ้านายก็ไม่ขึ้นเงินเดือน ไม่เลื่อนขั้นให้ ทำไงดีพี่”
ผมรู้จักนายจำนงค์มานาน ทำให้รู้สึกแปลกใจมาก เพราะปกติแล้วนายจำนงค์จัดว่าเป็นคนดีคนหนึ่งทีเดียว แกรับผิดชอบหน้าที่หลายอย่าง ไม่ว่าด้านการเงิน การบริหาร งานพัสดุ ฯลฯ ซึ่งแกทำได้ดีมาก และเท่าที่รู้แกมีความสุขในการทำงานมาก ทำโดยไม่หวังผลตอบแทน อย่างเวลาแกทำบุญ ใส่ซองผ้าป่าก็ไม่เคยคิดจะใส่ชื่อแกไปติดที่นั่นที่นี่ หรือทำความดีอะไรก็ไม่เห็นจะคาดหวังอะไรเลย ทำไมมาคาดหวังกับการเลื่อนขั้นเลื่อนเงินเดือน ซึ่งฟังดูแล้วแปลกๆ
“ไหนลองเล่าให้ฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“พี่หมอก็รู้ ผมทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีอะไรก็ทุ่มเทให้ตลอด ไม่เคยคิดคดโกงใคร ไม่มีนอกไม่มีในกับใครทั้งนั้น ผลประโยชน์ขององค์กรผมก็พิทักษ์ให้เต็มที่ ไม่เคยเอาของของใครมาเป็นของของตน ไม่เคยแม้แต่จะคิด”
ผมพยักหน้าช้าๆ เพราะรู้ว่าเขาทำอย่างที่พูดจริงๆ
“ทุกวันที่ยังทำงานที่นี้ ก็เพราะได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบ และรู้สึกเหมือนกับได้ทำความดี ได้ทำบุญทุกวัน” แกพูดถึงองค์กรของเราซึ่งเป็นองค์กรที่ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น โดยไม่แสวงหากำไร
“ก็ดีแล้วนี่ จำนงค์ก็ทำดีแล้ว มากลุ้มใจทำไม”
“โถพี่หมอ เรื่องเงินเดือนนะสิ ไม่เห็นขึ้นให้บ้างเลย ไม่ได้เลื่อนขั้นมานานแล้ว ผมน่ะกินเงินเดือนอย่างเดียว ไม่เคยกินคอมมิชชั่น กินหัวคิว คอรัปชั่น เลย แต่เงินเดือนเท่านี้ ลูกเมียผมก็อยู่ได้ลำบาก ความดีน่ะกินไม่ได้นะพี่หมอ”
ผมพยักหน้าช้าๆด้วยความเข้าใจ และเห็นใจ
“จำนงค์กำลังปิดทองหลังพระอยู่รู้ไหม พี่เองก็เคยรู้สึกเหมือนที่จำนงค์รู้สึกอยู่ บางครั้งรู้สึกเหมือนว่าโลกไม่เป็นธรรมกับเรา ทำดีแล้วไม่มีใครเห็น แต่เชื่อพี่เถอะว่า ทำความดีแล้วต้องได้รับผลดี และจงทำต่อไป”
แล้วเราก็คุยกันต่อในเรื่องนี้ ผมรู้ว่าจำนงค์ต้องการแค่บ่นหรือต้องการที่ระบายเท่านั้น เพราะแกเป็นคนหนักแน่นพอในศีลธรรม แค่ในช่วงนี้ต้องการกำลังใจบ้างเท่านั้น ผมเองและผมก็เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยมีความรู้สึกเหมือนจำนงค์ หลายๆครั้งเราจะรู้สึกท้อแท้ ไม่รู้ทำไปทำไม หรือบางครั้งเราต้องการกำลังใจ ผมได้เล่าเรื่องให้จำนงค์ฟังถึงพระราชดำรัสที่ในหลวงพระองค์ท่านได้ตรัสเกี่ยวกับการปิดทองหลังพระไว้ ให้กับพลตำรวจเอกวิสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งเมื่อนึกถึงทีไร ทำให้ผมได้รับกำลังใจเสมอมา ผมจำรายละเอียดพระราชดำรัสได้ไม่หมด ได้แต่เล่าไปตามความจำ แต่เห็นจำนงค์นิ่งไป แต่ประกายตาบอกได้ว่าซาบซึ้งและเข้าถึงใจมาก
หลังจากนั้นผมเลยมาค้นดูทาง internet เพื่อหาต้นฉบับ พบบทความเจอที่นี่ http://www.oknation.net/blog/SenaArunothai/2009/12/04/entry-1
บางส่วนจาก……บันทึกความทรงจำของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร
ใน คืนวันหนึ่งของปีพ.ศ. ๒๕๑๐ (ยศในขณะนั้นพันตำรวจโท)……หลังจากได้รับพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแล้ว ในวังไกลกังวล…….. ผมจำได้ว่า คืนนั้นผู้ที่โชคดีได้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานพระจิตรลดา เป็นนายตำรวจ 8 นาย และนายทหารเรือ 1 นาย…. พระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงมาพร้อมด้วยกล่องใส่พระเครื่องในพระหัตถ์ ทรงอยู่ในฉลองพระองค์ชุดลำลอง….. ขณะที่ทรงวางพระลงบนฝ่ามือที่ผมแบรับอยู่นั้น ผมมีความรู้สึกว่าองค์พระร้อนเหมือนเพิ่งออกจากเตา ภายหลัง เมื่อมีโอกาสกราบบังคมทูลถาม จึงได้ทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระเครื่ององค์นั้น ด้วยการนำเอาวัตถุมงคลหลายชนิดผสมกัน เช่น ดินจากปูชนียสถานต่างๆ ทั่วประเทศ ดอกไม้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายในโอกาสต่างๆ และเส้นพระเจ้า(เส้นผม) ของพระองค์เอง เมื่อผสมกันโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นตัวยึดแล้ว จึงทรงกดลงในพิมพ์ ( อ.ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาเป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้แกะถวาย) โดยไม่ได้เอาเข้าเตาเผา………
หลัง จากที่ได้รับพระราชทานแล้ว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทมีความว่า…….” พระที่ให้ไปน่ะ ก่อนจะเอาไปบูชา ให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น ” พระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า ที่ให้ปิดทองหลังพระก็เพื่อเตือนตัวเองว่า การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว….. ผมเอาพระเครื่องพระราชทานไปปิดทองที่หลังพระแล้ว ก็ซื้อกรอบใส่ หลังจากนั้นมา สมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินองค์นั้น ก็เป็นพระเครื่องเพียงองค์เดียวที่ห้อยคอผม……..
หลัง จากที่ไปเร่ร่อนปฏิบัติหน้าที่อยู่ไกลเบื้องพระยุคลบาท ผมได้มีโอกาสกลับไปเฝ้าฯ ที่วังไกลกังวลอีก…..ความรู้สึกเมื่อได้เฝ้าฯ นอกจากจะเป็นความปีติยินดีที่ได้พระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก็มีความน้อยใจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ลำบาก และเผชิญอันตรายนานาชนิด บางครั้งจนแทบเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ปรากฎว่ากรมตำรวจมิได้ตอบแทนด้วยบำเหน็จใดๆ ทั้งสิ้น……..
ก่อน เสด็จขึ้นคืนนั้น ผมจึงก้มลงกราบบนโต๊ะเสวย แล้วกราบบังคมทูลว่า ใคร่ขอพระราชทานอะไรสักอย่างหนึ่ง………. พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า “จะเอาอะไร?” และผมก็กราบบังคมทูลอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า จะขอพระบรมราชานุญาต ปิดทองบนหน้าพระ ที่ได้รับพระราชทานไป พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ผมขอปิดทองหน้าพระ….. ผมกราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า….พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดิน นั้น นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานไปห้อยคอแล้ว ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง มิหนำซ้ำกรมตำรวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียวอีกด้วย…… พระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล (ยิ้ม) ก่อนที่จะมีพระราชดำรัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า
“ปิดทองไปข้างหลังพระเรื่อยๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง……”
หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับพระราชดำรัสนี้ไว้เตือนใจ และขอให้ช่วยให้กำลังใจเพื่อนร่วมงาน และคนอื่นๆด้วยครับ