วันหนึ่งมีคนไข้รอดชีวิตเพราะหมอกี่คน

ผมไม่มีคำตอบให้นะครับ และไม่รู้จะไปหาได้ที่ไหน แต่ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจนะครับว่า ในแต่ละวันจะต้องมีคนไข้จำนวนไม่น้อยอยู่ในภาวะที่เกือบตายหรือเฉียดตาย แต่หมอสามารถช่วยชีวิตให้รอดได้ทัน แล้วเหตุการณ์เหล่านี้เคยเป็นข่าวไหมครับ ว่าวันนี้มีการช่วยชีวิตคนให้รอดได้กี่รายที่โรงพยาบาลไหนบ้าง คำตอบคือไม่มีเลยครับ แต่ถ้ามีเหตุที่สงสัยว่าคนไข้จะตายเพราะหมอและญาตินำไปร้องเรียนตามสื่อต่างๆ รับรองได้ว่าต้องเป็นข่าวใหญ่แน่นอน

นี่เป็นปรากฏการณ์ที่จะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาก็ได้ หรือจะถือว่าเป็นเรื่องแปลกก็ได้ ฝรั่งเคยมีคำพูดอยู่เหมือนกันว่า no news is a good news นั่นคือการไม่มีข่าวนั่นแหละเป็นข่าวดี เพราะเรื่องราวดีๆไม่ค่อยมีเป็นข่าว ข่าวส่วนมากจึงมีแต่เรื่องไม่ดี หนังสือพิมพ์เองก็ไม่อยากเขียนข่าวดีมากนักเพราะขายไม่น้อยและไม่เป็นที่นิยม นัยว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบหรือสนใจกับเรื่องร้ายๆมากกว่า

ผมว่าทำไมเราไม่ลองมาสร้างสังคมซึ่งเชิดชูสนับสนุนคนดี มีการชื่นชม อนุโมทนาเมื่อมีคนทำดี สนับสนุนคนดีให้อยู่ได้ในสังคม ผมเชื่อว่าในทุกๆวันมีเรื่องราวดีๆมากมายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยของเรา . . . → Read More: วันหนึ่งมีคนไข้รอดชีวิตเพราะหมอกี่คน

เงินและความบริสุทธิ์ของวิชาชีพแพทย์ในทัศนะของผม

ถ้าจะถามผมนะครับว่าความบริสุทธิ์ของวิชาชีพแพทย์คืออะไร ผมว่าแพทย์จะต้องเป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ และเมตตาคนไข้ให้มากๆ โดยที่ไม่ควรคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองเลย เชื่อไหมครับ เงินหรือค่าตอบแทนเป็นสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดในความเป็นแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเงินนั้นได้มาจากคนไข้ ผมมักจะบอกกับคนใกล้ชิดเสมอว่า แพทย์ไม่ควรร่ำรวยด้วยวิชาชีพแพทย์ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆและความคิดผมจะสุดโต่งเสียด้วยว่า หมอไม่ควรรับเงินจากคนไข้เลย

ช่วงแรกๆหลังจากจบแพทย์ใหม่ๆ ผมเคยทำงานเป็นแพทย์เวรดูแลคนไข้ในที่โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งได้ค่าตอบแทนเหมือนๆกับโรงพยาบาลเอกชนทั่วๆไป ระบบค่าตอบแทนแพทย์เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกขัดแย้งในตัวเองไม่น้อย เมื่อหมอถูกตามไปดูคนไข้ หรือแม้แต่ดู lab สามารถเก็บค่าปรึกษาได้ตามจำนวนครั้ง ในบางรายคนไข้มีอาการหนัก เราจำเป็นต้องไปดูหลายครั้ง ทำให้เราได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น ไม่รู้สิครับ การที่เราไปดูคนไข้แล้วคนไข้ต้องจ่ายเงินให้เราเป็นสิ่งที่ผมลำบากใจมาก ผมเลยรีบยกเลิกการไปอยู่เวรดังกล่าวหลังจากอยู่ไปได้ไม่กี่ครั้ง

การตรวจคนไข้นอกที่โรงพยาบาลเอกชนก็เช่นกัน โดยปกติแพทย์สามารถคิดค่าตรวจ หรือค่า DF (doctor fee) ได้ตาม rate ของโรงพยาบาลนั้นๆ เช่น 200-300 บาทต่อคนไข้ 1 คน โดยเงินค่า DF ที่โรงพยาบาลเก็บจะไม่ได้เป็นรายได้ของหมอทั้ง 100% อาจถูกแบ่งให้พยาบาลและเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นด้วยแล้วแต่โรงพยาบาลเช่น หมอได้ 80% พยาบาลได้ 20% ฯลฯ ผมเองเคยรับเวรตรวจ OPD ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งผมพอใจค่อนข้างมาก ไม่ใช่ว่าได้ค่าตอบแทนเยอะนะครับ แต่เป็นเพราะผมมีสิทธิ์ในเรียกเก็บค่า DF ได้ตามใจ คนไข้ส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลเอกชน จะไม่ได้เป็นผู้จ่ายเงินเอง แต่เป็นคนไข้ประกัน ซึ่งไม่มีปัญหาเราสามารถเรียกเก็บค่า DF . . . → Read More: เงินและความบริสุทธิ์ของวิชาชีพแพทย์ในทัศนะของผม

คุยกันก่อนอ่าน บันทึกในความเป็นแพทย์

บันทึกในความเป็นแพทย์นี้ นับว่าเป็นเพียงความเห็นหรือมุมมองส่วนตัวของผมที่เกี่ยวกับวิชาชีพนี้เท่านั้น ผมพยายามจะสะท้อนมุมมองของผมออกมาอย่างซื่อๆ และตรงไปตรงมาที่สุด ผมเชื่อว่าหลายๆคนอาจเห็นด้วยกับผมและในเวลาเดียวกันอาจมีอีกหลายคนไม่เห็นด้วยนัก ซึ่งก็ไม่มีปัญหาครับ ทุกคนมีมุมมองที่ต่างกันได้ แม้แต่ในคนๆเดียวกันในแต่ละช่วงเวลาและอยู่ในคนละบริบทก็ยังอาจมีมุมมองที่เปลี่ยนไปได้เลย และอย่างที่บอก website นี้ทั้ง web เป็น (แค่) บันทึกของหมอคนหนึ่งเท่านั้น

จริงๆผมไม่ได้เป็นคนที่ชอบเปิดเผยตัวเองเลย แต่ในการเขียน website หรือ blog ต่างๆ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งแน่นอนจะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและคนที่ไม่เห็นด้วย รวมทั้งสุ่มเสี่ยงต่อการถูกเข้าใจผิดหรือการตีความต่างๆนานา ดังนั้นเพื่อความสบายใจนะครับ ขอให้ท่านผู้อ่านถือว่าทั้งหมดใน website นี้เป็น (แค่) บันทึกของหมอคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย

ถ้าท่านผู้อ่านจะได้ความสุขหรือได้ประโยชน์กลับไปบ้าง ผมจะยินดีและดีใจมาก แต่ถ้าท่านผู้ใดรู้สึกขัดข้อง รู้สึกกระทบ หรือไม่สบายใจ . . . → Read More: คุยกันก่อนอ่าน บันทึกในความเป็นแพทย์